วิธีเลือกกองทุนรวมที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น

การออมเงินที่ง่าย แถมมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนคอยจัดการ และ บริหารเงินให้กับเรา จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก “การลงทุนในกองทุน” ครับ

 

ยกตัวอย่างหุ้นกองทุน 

 

สหรัฐอเมริกา : JEPQ เป็นกองทุนของธนาคารระดับโลก อันดับ 1 ของสหรัฐฯ อย่าง โกลด์แมนแซกส์ แค่เราเอาเงินไปลงทุน ทางผู้จัดการกองทุนเขาก็มีหน้าที่ทำให้เงินของเราเติบโต และ ปันผลให้ทุกเดือน รับเงินฟรีๆแบบไม่ต้องทำอะไร

 

ฝากไป 2,000,000 รับปันผลปีละ 11% แปลว่า ถ้าเอามาหาร 12 จะมีเงินใช้เดือนละ 18,000 บาท ยังไม่รวมถึงราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างละนิดๆด้วยนะครับ

 

นี่แหละครับความสบายของการฝากกองทุน

กองทุนรวม

วิธีเลือกกองมทุนรวมสำหรับมือใหม่

1.กำหนดเป้าหมายการลงทุน

ก่อนที่จะเลือกกองทุนรวม ควรกำหนดว่าเราลงทุนเพื่ออะไร เช่น

  • เก็บเงินระยะยาว (เพื่อเกษียณ หรือสร้างความมั่งคั่ง)
  • เก็บเงินระยะสั้น (สำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน หรือเป้าหมายใกล้ๆ)

กำหนดเป้าหมายจะช่วยให้เรารู้ว่า ควรเลือกกองทุนที่มีลักษณะการลงทุนแบบไหน เช่น กองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ หรือกองทุนผสม

2.เลือกกองทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง

  • กองทุนหุ้น: จะมีความเสี่ยงสูง แต่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว
  • กองทุนตราสารหนี้: ความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่ผลตอบแทนก็จะไม่สูงเท่า
  • กองทุนผสม: การผสมกันระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ เป็นตัวเลือกที่มีความเสี่ยงปานกลาง

คุณต้องถามตัวเองว่าพร้อมรับความเสี่ยงมากแค่ไหน ถ้าคุณยังใหม่กับการลงทุน การเลือกกองทุนผสมอาจจะเป็นทางเลือกที่ดี

3.พิจารณาค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมเป็นปัจจัยที่สำคัญ เนื่องจากค่าธรรมเนียมจะลดผลตอบแทนที่คุณจะได้รับไปได้ ตัวอย่างของค่าธรรมเนียมที่ต้องพิจารณา ได้แก่:

  • ค่าธรรมเนียมการจัดการ: ค่าธรรมเนียมรายปีที่จ่ายให้กับผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียมการซื้อ/ขาย: ค่าธรรมเนียมที่จ่ายเมื่อลงทุนหรือถอนเงินจากกองทุน

ควรเลือกกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมไม่สูงเกินไป เพราะค่าธรรมเนียมสะสมอาจจะกินส่วนของผลตอบแทนไปมาก

กองทุนรวม

4.ตรวจสอบผลการดำเนินงานในอดีต

การดูผลตอบแทนในอดีตสามารถช่วยให้เห็นภาพว่ากองทุนที่เรากำลังจะลงทุนมีการจัดการอย่างไร แม้ว่าผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคต แต่ก็คือหนึ่งในปัจจัยที่ควรพิจารณา

5.เลือกกองทุนที่มีความหลากหลาย

สำหรับผู้เริ่มต้น การเลือกกองทุนที่มีความหลากหลาย เช่น กองทุนผสม (หุ้น + ตราสารหนี้) หรือกองทุนที่ลงทุนในหลายๆ อุตสาหกรรม จะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นของบริษัทเดียวหรือในตลาดเดียว

6.ศึกษาความเสี่ยงจากการลงทุน

ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง แต่การเลือกกองทุนที่มีการบริหารความเสี่ยงดีๆ จะช่วยให้คุณลดความเสี่ยงลงได้

7.คำนึงถึงระยะเวลาในการลงทุน

  • หากคุณวางแผนที่จะลงทุนระยะยาว (10 ปีขึ้นไป) กองทุนหุ้นหรือกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงอาจจะเป็นทางเลือกที่ดี
  • หากคุณต้องการเงินในระยะสั้น ควรเลือกกองทุนตราสารหนี้หรือกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ

8.ติดตามผลเป็นระยะ

แม้จะเลือกกองทุนที่ดีแล้ว แต่การติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนก็สำคัญ ควรติดตามผลเป็นระยะและปรับกลยุทธ์หากจำเป็น

กองทุนรวมที่แนะนำ

กองทุนไทย

กองทุนรวมตราสารหนี้ K-Strategic Bond Fund (K-Bond)

  • ลักษณะ: กองทุนนี้ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่ากองทุนหุ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงและผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
  • ความเสี่ยง: ต่ำ
  • จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคงและความเสี่ยงต่ำ

กองทุนรวมหุ้น SET50 (TMBSET50)

  • ลักษณะ: ลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET50 ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด 50 ตัวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
  • ความเสี่ยง: ปานกลาง
  • จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นแบบกระจายความเสี่ยงและมีความเสี่ยงในระดับปานกลาง

กองทุนรวมหุ้นบลจ.กรุงศรี (KFSF)

  • ลักษณะ: กองทุนนี้เน้นการลงทุนในหุ้นไทยที่มีศักยภาพสูงและเติบโตในระยะยาว
  • ความเสี่ยง: สูง
  • จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต

กองทุนรวมผสม BBL Asset Allocation Fund (BBLAGG)

  • ลักษณะ: กองทุนผสมที่ลงทุนในทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนในระยะยาว
  • ความเสี่ยง: ปานกลาง
  • จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการความหลากหลายในการลงทุน

กองทุนรวมตลาดหุ้นต่างประเทศ (SCBGLT)

  • ลักษณะ: ลงทุนในหุ้นต่างประเทศในตลาดอเมริกาและยุโรป ให้โอกาสในการกระจายความเสี่ยงไปยังต่างประเทศ
  • ความเสี่ยง: สูง
  • จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่อยากลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ

กองทุนสหรัฐฯ

Vanguard Total Stock Market Index Fund (VTSAX)

  • ลักษณะ: กองทุนดัชนีที่ติดตามผลตอบแทนจากตลาดหุ้นทั้งหมดของสหรัฐฯ รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก
  • ความเสี่ยง: ปานกลาง-สูง
  • จุดเด่น: เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำ และการกระจายการลงทุนในหลากหลายบริษัท

Fidelity 500 Index Fund (FXAIX)

  • ลักษณะ: กองทุนนี้จะลงทุนในหุ้น 500 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ซึ่งคือหุ้นที่อยู่ในดัชนี S&P 500
  • ความเสี่ยง: ปานกลาง-สูง
  • จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงในสหรัฐฯ

iShares Core U.S. Aggregate Bond ETF (AGG)

  • ลักษณะ: กองทุนนี้ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนของสหรัฐฯ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น
  • ความเสี่ยง: ต่ำ
  • จุดเด่น: เหมาะสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความมั่นคงและผลตอบแทนที่ค่อนข้างคงที่

Vanguard Growth ETF (VUG)

  • ลักษณะ: กองทุนนี้ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงในสหรัฐฯ เช่น เทคโนโลยีและสาขาอื่นๆ
  • ความเสี่ยง: สูง
  • จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูงจากการลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตในอนาคต

Schwab U.S. Dividend Equity ETF (SCHD)

  • ลักษณะ: กองทุนนี้เน้นการลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงในสหรัฐฯ
  • ความเสี่ยง: ปานกลาง
  • จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรายได้ประจำจากเงินปันผล พร้อมทั้งมีการกระจายความเสี่ยงไปยังหลายบริษัท

ลองเลือกกองทุน หรือ หุ้นกองทุนเหล่านี้ดูครับ จะได้เลือกแต่ตัวดีๆไม่ต้องไปงมเหมือนลุ้นหวยครับ แต่ถ้าใครอยากลุ้นหวยจริงๆ แบบที่ได้อัตราจ่ายสูงไปเลย 970 บาท ไม่มีเลขอั้น และซื้อกับเว็บมีใบอนุญาต ก็มาเข้าไปได้ที่ หวยไว Global Lotto นะครับ หรือปุ่มด้านล่างได้เลย